ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

อิสลามเบื้องต้น : หลักศรัทธา (รูก่นอีหม่าน) 6 ประการ

อิสลามเป็นศาสนาที่ชัดเจน และง่ายต่อการทำความเข้าใจสำหรับทุกคน ซึ่งเป็นศาสนาที่เปิดประตูกว้างเสมอสำหรับทุกคนที่จะเข้ารับนับถือ ถ้าหากว่าการพูดถึงบัญญัติต่างๆ ของอิสลามอันมากมายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะอธิบายได้ด้วยคำพูดสั้นๆ ณ ที่นี่จึงขออธิบายเนื้อหาหลักๆ สักนิดหนึ่ง เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นสำหรับท่านที่ต้องการจะรู้เพิ่มเติมทุก ๆ หลักการและความรู้ของอิสลามเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่หลักการบางส่วนก็มีความสำคัญมากกว่าอีกบางส่วน และต่อไปนี้เป็นหลักการที่สำคัญที่สุดหกประการที่จำเป็นจะต้องเชื่อมั่นด้วยหัวใจนั่นก็คือ หลักศรัทธา (รูก่นอีหม่าน) 6 ประการ โดยมีรายละเอียดดังนี้


1. ศรัทธาในพระองค์เดียว
อิสลามถือว่าในสากลจักรวาลทั้งหลายมีพระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียวเป็นผู้สร้างสากลจักรวาลและเป็นผู้บริหารควบคุม  โลกนี้มิใช่เกิดมาโดยบังเอิญถ้าเกิดโดยบังเอิญมันจะมีระเบียบแบบแผนในการโคจรไม่ได้โลกและดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ได้หมุนโคจรอย่างมีระบบรักษาตำแหน่งหน้าที่ของมันอย่างคงเส้นคงวานับเป็นเวลานานไม่รู้กี่ล้านปีโดยที่มันไม่เคยได้ชนกันเลยนี่ต้องแสดงว่ามีผู้บริหารและต้องมีผู้ควบคุมมัน

2. ศรัทธาในบรรดามลาอีกะฮ์ของพระองค์
มลาอีกะฮ์ คือผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับศาสดาทั้งหลายเพื่อจะได้ให้ศาสดาดังกล่าวได้เข้าถึงอัลลอฮ์มนุษย์เราแม้จะมีปัญญาสักปานใดก็ต้องอาศัยสื่อภายนอกด้วยเหมือนกันเช่นมนุษย์นั้นแม้จะมีสายตาดีสักเพียงใดก็ตามเขาก็ไม่สามารถมองเห็นวัตถุใด ๆได้เลยถ้าหากไม่มีแสงสว่างเป็นสื่อคำว่ามลาอีกะฮ์หาคำศัพท์แปลเป็นภาษาไทยไม่ได้มลาอีกะฮ์ เป็นนามธรรมไม่ใช่เทวทูต, เทวดา, ทูตสวรรค์แต่ในศาสนาอิสลามถือว่ามลาอีกะฮ์ไม่มีเพศไม่ขัดขืนคำสั่งของอัลลอฮ์ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับไม่นอนมลาอีกะฮ์ คืออำนาจแห่งความดีส่วนอำนาจแห่งความชั่วนั้น คือชัยตอน หรือซาตานหรือมาร นั่นเองดังนั้น มลาอีกะฮ์จึงไม่ใช่เทวดาและนางฟ้า

3. ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ทั้งหลายของพระองค์
มุสลิมต้องเชื่อถือต้นฉบับเดิมของคัมภีร์ทั้งหลายทุกๆเล่มในอดีตรวมทั้งอัล-กุรอานด้วยทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่าคัมภีร์เหล่านั้นต้องเป็นวะฮีย์ (ได้รับการดลใจ)มาจากอัลลอฮ์และต้องมีเนื้อหาสาระตรงกับอัล-กุรอานมุสลิมต้องเชื่อถือในส่วนบริสุทธิ์ของคัมภีร์เท่านั้นอิสลามถือว่าคัมภีร์ที่สมบูรณ์ที่สุดและเป็นคัมภีร์สุดท้ายคือคัมภีร์อัล-กุรอาน ไม่ว่าศาสดาเหล่านั้นจะปรากฎชื่ออยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอานหรือไม่ก็ตามไม่ว่าศาสดาเหล่านั้นจะเป็นชนชาติใดอยู่ที่ไหนพูดภาษาอะไรก็ตามมุสลิมต้องให้เกียรติยกย่องบรรดาศาสดาเหล่านั้นอย่างเท่าเทียมกันหมดศาสดามุฮัมมัด  เป็นศาสดาสุดท้ายของโลกที่มารับภารกิจต่อจากศาสดาก่อนๆที่เชิญชวนมนุษย์ให้รู้จักพระเจ้าและดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์ศาสดามุฮัมมัด  ได้กล่าวว่าหลังจากท่านแล้วจะไม่มีศาสดาเกิดขึ้นมาอีกเพราะถือว่าท่านได้นำคำสอนหรือแนวทางแห่งการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์มาสู่มนุษยชาติแล้ว

4. ศรัทธาในบรรดารอซูลของพระองค์
บรรดารอซูลที่สำคัญมี 25 ท่าน ท่านนาบีอาดำ เป็นรอซูลท่านแรกของพระองค์ และท่านนาบีมูฮัมหมัด (ซล.) เป็นรอซูลท่านสุดท้าย

5. ศรัทธาในวันสุดท้ายและการเกิดใหม่ในวันปรโลก
อิสลามถือว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นเพียงวัตถุธาตุชิ้นหนึ่งซึ่งต้องมีการแตกสลายเหมือน ๆกับวัตถุหรือสิ่งอื่น ๆแน่นอนโลกของเราต้องถึงจุดจบไม่วันใดก็วันหนึ่งเมื่อโลกแตกสลายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับสิ้นนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้นที่ยังดำรงอยู่และมนุษย์ทั้งหลายก็จะไปเกิดใหม่อีกครั้งแต่จะไปเกิดสภาพใดนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดรู้ได้การเกิดใหม่อีกครั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์รับผลตอบแทนตามที่เขาได้กระทำไว้เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ผลงานของเขาในโลกนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเขาจะเป็นผู้ได้รับสวรรค์หรือนรกไม่มีใครช่วยใครได้ไม่มีการกลับชาติมาเกิดถ้าเราไม่เชื่อในเรื่องการเกิดใหม่แล้วสังคมของเราก็จะสับสนปั่นป่วนวุ่นวายหาความสงบสุขไม่ได้ดังเช่น พวกอรับในยุคญาฮีลียะฮ(ยุคแห่งความโง่เขลา งมงาย)ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพวกเขาเกิดมาแล้วก็ตายไปคือ ตายแล้วสูญเหมือนดังสัตว์อื่น ๆความดีความชั่วที่เขาได้กระทำมานั้นไม่มีการตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตความเป็นอยู่ไปในทางชั่วช้าทุกรูปแบบจนสร้างความเสียหายปั่นป่วนให้แก่สังคมเป็นอย่างยิ่ง

6. ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวะของพระองค์
ต้องศรัทธาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาลนี้ล้วนเกิดขึ้นมาและดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้นเช่น ไฟมีคุณสมบัติร้อนน้ำไหลลงจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำแพะ แกะ วัว ควาย สุนัขออกลูกเป็นตัว นก เป็ด ไก่ออกลูกเป็นไข่ต้นมะม่วงต้องออกลูกเป็นมะม่วงต้นกล้วยจะออกลูกเป็นแอปเปิ้ลไม่ได้ทุก ๆ ชีวิตต้องตายนี่คือกฎกำหนดสภาวะของอัลลอฮ์หมายความว่ากฎธรรมชาติทั้งหลายนั้นอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงสร้างและควบคุมมันส่วนการกำหนดสภาวะในหลักจริยธรรมความดี- ความชั่วนั้นพระองค์จะเป็นผู้บอกเราเองว่าอะไรคือความดีและอะไรคือความชั่วแต่สิ่งที่ใช้วัดความดีความชั่วนั้นในอิสลามถือว่ามันไม่ได้มาจากมติบุคคลหรือมติของมหาชนมิได้อาศัยขนบธรรมเนียมประเพณีหรือความนิยมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องกำหนดเพราะถ้ามนุษย์เป็นผู้กำหนดความดีความชั่วแล้วมาตรฐานความดีของมนุษย์ก็จะแตกต่างกัน

การที่มนุษย์ได้กระทำความดีความชั่วนั้นอัลลอฮ์ไม่ได้เป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตของเขาไว้ล่วงหน้ามาก่อนเลยสิ่งเหล่านี้มันขึ้นอยู่กับการกระทำหรือการตัดสินใจของมนุษย์เองเพราะอัลลอฮ์ได้ให้ความคิดอิสระเสรีแก่เขาในการที่เขาจะเลือกทางเดินของเขาเองดังนั้นเหตุการณ์ต่าง ๆที่สับสนวุ่นวายอยู่ในบ้านเมืองหรือสังคมนั้นมันเกิดขึ้นมาจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเองทั้งสิ้นมิใช่เกิดขึ้นจากการกำหนดหรือการลิขิตของพระผู้เป็นเจ้าความจน ความรวย ความทุกข์ทรมานความทุกข์ยาก ความขมขื่นที่เกิดแก่มนุษย์นั้นก็เนื่องมาจากผู้ปกครองขาดความรับผิดชอบนั่นเองการที่อัลลอฮ์ไม่ได้เป็นผู้ขีดชะตากรรมของผู้ใดล่วงหน้ามานั้นก็เพื่อที่จะให้มนุษย์ได้มีความรับผิดชอบในการงานของตนเองที่ได้กระทำไว้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีการละหมาดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

ลักษณะวิธีการละหมาดตามซุนนะฮ์  โดย อ.อับดุลลอฮฺ สุไลหมัด  การละหมาดคืออะไร ? การละหมาด หรืออัส-ศอลาฮฺ ( الصَّلاَةُ ) คือ ศาสนกิจที่ประกอบด้วยอิริยาบถและคำอ่านต่าง ๆ ที่เริ่มพิธีด้วยการ กล่าวตักบีรและเสร็จพิธีด้วยการกล่าวสลาม การละหมาดคือเสาหลักของศาสนาอิสลาม ท่านมุอาซบินญะบัล ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า رَأْسُ الأَمْرِ اْلإِسْلاَمُ وَعَمُودُهُ الصَّلاَةُ “สิ่งสำคัญสุดของกิจการทั้งปวงคืออิสลาม และเสาหลักของอิสลามคือการละหมาด” บันทึกโดยอะหมัดและอัดติรมิซีย์ การละหมาดเป็นรู่ก่นหรือโครงสร้างหลักของศาสนาอิสลาม ท่านอับดุลลอฮ์อิบนุอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า بُنِيَ اْلإِسْلاَمُ عَلَى خَمْسٍ “ศาสนาอิสลามถูกสร้างขึ้นบนหลักพื้นฐาน (รู่ก่น) 5 ประการ” และหนึ่งในห้าประการที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวถึงก็คือ وَإِقَامِ الصَّلاَةِ “การดำรงละหมาด” บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม การละหมาดคือภารกิจแรกที่จะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์ ท่านอา...

การอาบน้ำละหมาด

การอาบน้ำละหมาด คือ ข้อปฏิบัติในการอาบน้ำละหมาดที่เป็นฟัรดูนั้นมีอยู่ 6 ประการคือ ประการที่ 1 เนียต คือต้องนึกในใจเมื่อเราล้างส่วนหนึ่งส่วนใดของหน้า คำอ่านสำหรับผู้ที่จะอาบน้ำละหมาด สุนัตให้อ่านว่า  “ นะวัยตุล วุดูอะ ฟัรด็อนลิ๊ลลาฮิตาอาลา “ ต้องนึกในใจว่า " ข้าพเจ้าอาบน้ำละหมาด วุดุอ์ฟัรดูเพื่ออัลลอฮตะอาลา " ประการที่ 2 ล้างหน้าให้ทั่วเขตของหน้า ตั้งแต่ หน้าผากจดถึงใต้คาง และระหว่างเม็ดหูข้างหนึ่งจดเมื่อหูอีกข้างหนึ่งให้น้ำถูกผิวหน้าจนทั่วตลอดจนโคนเคราที่บางถ้าเคราหนาก็ให้ล้าง เฉพาะภายนอกเท่านั้น ประการที่ 3 ล้างมือทั้งสองข้าง ตลอดจนถึงข้อศอกให้น้ำถูกผิวหนังจนทั่ว ประการที่ 4 เอาน้ำเช็ดที่ผมส่วนหนึ่งส่วนใดในเขตศรีษะ ประการที่ 5 ล้างเท้าทั้งสองข้าง ตลอดจนถึงสองตาตุ่มให้ถูกผิวหนังจนทั่ว ประการที่ 6 ต้องทำให้ได้อันดับเรียงมาตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 5 ถ้าสลับกันหรือละเว้นข้อการอาบน้ำละหมาดนั้นใช้ไม่ได้ สุนัตของการอาบน้ำละหมาดมี 10 ประการ คือทำได้ผลบุญ ถ้าละเว้นไม่เสียหายอะไร คือ 1. เมื่อจะเริ่มล้างฝ่ามือ ให้อ่านอะอูซูบิลลาฮิ มินัสไซตอนิรรอญีม และ บิสสมิลลาฮิรเราะห์มานิรรอฮีม 2. ...