ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ซะกาตในอิสลาม

 ในฐานะที่เป็นคนไทย ขณะที่มีงานทำและมีรายได้เป็นเงินเดือนประจำในทุกสิ้นเดือนที่บริษัทจ่ายเงินเดือนให้ ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนหนึ่งให้แก่รัฐตามกฎระเบียบที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ หากใครหลีกเลี่ยงภาษีก็ถือว่าผิดกฏหมายและหากถูกจับได้ก็จะต้องถูกลงโทษตามที่กฏหมายระบุไว้

ทำไมต้องจ่ายภาษี ?
คำตอบก็คือ มันเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคนที่จะต้องช่วยกันทำนุบำรุงและพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะส่งผลดีกลับมายังผู้จ่ายนั้นเอง ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำระปา การชลประทาน โรงเรียน  โรงพยาบาล เงินเดือนข้าราชการ ทหาร ตำรจ และอื่นๆเหล่านี้ล้วนแต่มาจากภาษีของประชาชนทั้งสิ้น

แต่ในฐานะที่เป็นมุสลิม  นอกจากจะต้องจ่ายภาษีให้แก่รัฐแล้ว ยังต้องจ่ายภาษีศาสนาที่เรียกว่า “ซะกาต” อีกส่วนหนึ่งให้แก่ผู้มีสิทธิ์ได้รับ 8 ประเภทตามที่ศาสนากำหนดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพสักการะพระเจ้า (อัลลอฮฺ)

การจ่ายซะกาตเป็นบทบัญญัติทางกฏหมายอิสลามที่กำหนดให้บุคคลและนิติบุคคลมุสลิมทีมีทรัพย์สินถึงพิกัดอัตราทที่ศาสนากำหนดไว้ (นิศอบ) ในวันครบรอบปีจันทรคติจะต้องจ่ายทรัพย์สินนี้ออกไปจำนวนหนึ่งในอัตราที่ศาสนากำหนดไว้

ในทางศาสนา  การจ่ายซะกาตเป็นวินัยบัญญัติสำคัญหนึ่งใน 5 ประการ สำหรับมุสลิมจะต้องปฏิบัติ การหลีกเลี่ยงถือเป็นบาปใหญ่และเป็นการเนรคุณต่อพระเจ้า แต่หากมองในทางเศรษฐกิจและสังคม  ซะกาตคือภาษีที่พลเมื่องมุสลิมทุกคนต้องจ่ายกลับสู่สังคมตามกำหนดเวลา  ตามกรรมวิธีและตามอัตราที่ศาสนากำหนดไว้ ดังนั้น ซะกาตจึงไม่ใช่ “การบริจาคทาน” ตามความสมัครใจที่จะทำเมื่อใด อย่างไรและจำนวนมากน้อยแค่ใหนก็ได้ เหมือนกับการบริจาคทาน แต่มันเป็นภาษีอย่างหนึ่งซึ่งมีกฏเกณฑ์สำหรับการปฏิบัติที่เรียกซะกาตเป็นภาษี เพราะในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด อิสลามมิได้เป็นแค่เพียงพิธีกรรมทางศาสนาในความหมายแคบๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่เป็นรัฐที่มีธรรมนูญ (คัมภีร์อัลกุรอาน) มีอธิปไตย มีอาณาเขตและมีประชาชนมุสลิมเป็นองค์ประกอบสำคัญในความหมายของคำว่ารัฐโดยสมบูรณ์ อิสลามก็จำเป็นต้องมีอำนาจรัฐหรือรัฐบาลเป็นผู้รักษากฏหมาย รัฐบาลของรัฐอิสลามในสมัยนั้นก็เหมือนกับรัฐบาลรัฐในสทุกอุดมการณ์ที่จะต้องมีรายได้มาใช้จ่ายในการป้องกันประเทศ และทำนุบำรุงบ้านเมืองในด้านต่างๆเป็นธรรมดา แต่ “ซะกาต” กับ “ภาษีสมัยใหม่” มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ประการหนึ่งนั้นก็คือซะกาตเป็นภาษีที่อิสลามกำหนดให้เป็นวินัยบัญญัติสำคัญทางศาสนา การหลบเลี่ยงไม่จ่ายซะกาต อาจรอดพ้นจากการลงโทษของเจ้าหน้าที่รัฐได้ แต่โลกหน้าคนผู้นั้นไมม่อาจหลีกเลี่ยงการลงโทษจากพระะเจ้าไปได้ ส่ววนภาษีสมัยยใหมม่นั้นถูกแยกออกจากความรู้สึกทางศาสนาโดยสิ้นเชิง ดั้งนั้นผู้คนจะหาทางหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีโดยไม่มีความรู้สึกกลัวแต่ประการใด

ความหมายของคำว่า “ซะกาต”
คำว่าซะกาตเป็นคำภาษาอาหรับที่มีความหมายว่า “การขัดเกลาให้สะอาดบริสุทธิ” “การเพิ่มพูล”และ “การเจริญงอกงาม”

การจ่ายซะกาตเป็นการขัดเกลาจิตใจของผู้มีทรัพย์สินให้สะอาดหมดจดจากความตระหนี่ถี่เหนียวซึ่งเป็นมนทินที่เกาะกินจิตใจให้สกปรกและหยาบกระดางขณะเดี่ยวกันก็เป็่นการซักฟอกทรัพย์สินที่หามาได้ให้สะอาดบริสุทธิ์
นอกจากนี้แล้วเหมมือมีการจ่ายซะกาตออกไปให้คนจน คนขัดสน หรือคนมีหนี้สินมันก็เป็นการสร้างอำนาจการซื้อให้แก่คนที่ไม่มีอำนาจ การซื้อ เมื่อคนในสังคมมีอำนาจซื้อก็จะส่งผลให้ร้านค้าสามารถรักษษการจ้างงานการกระะจ่ายรายได้ไว้ได้ระดับหนึ่งและะสร้างความจำเริญดีงามให้แก่ทั้งผู้ให้ ผู้รับ และสังงคมโดยรวม

ทรัพย์สินอะไรที่จะต้องจ่ายซะกาต ?
1.    โลหะเงินและทองคำ  เงินสด เงินในบัญชี หุ้น  สินค้า (ของตนเองไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรืออัญมณี)  ที่มีไว้ขายทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นนำมาฝากขายหากมีมูลค่าเท่าราคาทองคำ  หนัก  85  กรัม หรือประมาณ 5.66  บาท (ทองคำหนึ่งบาทหนัก 15  กรัม) เมื่อครบรอบปีก็จะต้องจ่ายซะกาต 2.5 % จากทรัพย์สินเหล่านี้

2.   ผลผลิตจากการเกษตร หากเป็นผลผลิตที่เกิดจากการใช้ชลประทาน ที่ต้องลงทุนอัตราซะกาต คือ 5% หากไม่ใช้การชลประทานและอาศัยน้ำฝนอย่างเดี่ยว อัตราซะกาต คือ 10%
3.  ปศุสัตว์ เช่น แพะ แกะ วัว ความ อูฐ เป็นต้น
4.  ขุมทรัพย์ที่พบได้ในแผ่นดิน

ระยะเวลาของการจ่ายซะกาต
การเริ่มต้นปีซะกาตนั้นเริ่มต้นในวันคนผู้นั้นจ่ายซะกาตเป็นครั้งแรก นั้นคือ วันที่คนผู้นั้นมีทรัพย์สินครบพิกัดอัตราที่ศาสนากำหนดไว้ หลักจากนั้น เมื่อครบปีจันทร์คติซึ่งมี 354   วัน หากยังมีทรัพย์สินอยู่อีกก็จะต้องจ่ายอีกตามกัมวิธีเดิม เพราะซะกาตนั้นคิดจากทรัพย์สินที่ออมไว้ ไม่ใช่คิดจากรายได้สะสมไว้มาเท่าใด ก็ต้องจ่ายมากขึ้นเท่านั้นนี้คือความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ทุกคนเรียกร้องมาตลอดทุกยุคทุกสมัย

ผู้มีสิทธิ์ได้รับซะกาต


คำภีร์อัลกุรอานกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ซะกาตไม่ใช่สิทธิของเราหากเป็นสิทธิที่อัลลอฮฺ  ได้กำหนดไว้เพื่อ
1.       คนยากจน
2.       จนอนาถา
3.       คนที่ทำหน้าที่ในเรื่องจัดการซะกาต
4.       คนที่มีหัวใจโน้มมาสู่อิสลาม
5.       ทาส  และเชลย
6.       คนมีหนี้สิน
7.       ในหนทางของอัลลอฮฺ
8.       คนที่ติดขัดในระหว่างเดินทาง


อ้างอิง: อ.บรรจง  บินกาซัน. 1 ตุลาคม 2547. สารพันปัญหาว่าด้วยหลักการซะกาต. สำนักพิมพ์ อัลอามีน, กรุงเทพฯ.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อิสลามเบื้องต้น : หลักศรัทธา (รูก่นอีหม่าน) 6 ประการ

อิสลามเป็นศาสนาที่ชัดเจน และง่ายต่อการทำความเข้าใจสำหรับทุกคน ซึ่งเป็นศาสนาที่เปิดประตูกว้างเสมอสำหรับทุกคนที่จะเข้ารับนับถือ ถ้าหากว่าการพูดถึงบัญญัติต่างๆ ของอิสลามอันมากมายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะอธิบายได้ด้วยคำพูดสั้นๆ ณ ที่นี่จึงขออธิบายเนื้อหาหลักๆ สักนิดหนึ่ง เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นสำหรับท่านที่ต้องการจะรู้เพิ่มเติมทุก ๆ หลักการและความรู้ของอิสลามเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่หลักการบางส่วนก็มีความสำคัญมากกว่าอีกบางส่วน และต่อไปนี้เป็นหลักการที่สำคัญที่สุดหกประการที่จำเป็นจะต้องเชื่อมั่นด้วยหัวใจนั่นก็คือ หลักศรัทธา (รูก่นอีหม่าน) 6 ประการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ศรัทธาในพระองค์เดียว อิสลามถือว่าในสากลจักรวาลทั้งหลายมีพระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงองค์เดียวเป็นผู้สร้างสากลจักรวาลและเป็นผู้บริหารควบคุม  โลกนี้มิใช่เกิดมาโดยบังเอิญถ้าเกิดโดยบังเอิญมันจะมีระเบียบแบบแผนในการโคจรไม่ได้โลกและดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ได้หมุนโคจรอย่างมีระบบรักษาตำแหน่งหน้าที่ของมันอย่างคงเส้นคงวานับเป็นเวลานานไม่รู้กี่ล้านปีโดยที่มันไม่เคยได้ชนกันเลยนี่ต้องแสดงว่ามีผู้บริหารและต้องมี...

วิธีการละหมาดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม

ลักษณะวิธีการละหมาดตามซุนนะฮ์  โดย อ.อับดุลลอฮฺ สุไลหมัด  การละหมาดคืออะไร ? การละหมาด หรืออัส-ศอลาฮฺ ( الصَّلاَةُ ) คือ ศาสนกิจที่ประกอบด้วยอิริยาบถและคำอ่านต่าง ๆ ที่เริ่มพิธีด้วยการ กล่าวตักบีรและเสร็จพิธีด้วยการกล่าวสลาม การละหมาดคือเสาหลักของศาสนาอิสลาม ท่านมุอาซบินญะบัล ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า رَأْسُ الأَمْرِ اْلإِسْلاَمُ وَعَمُودُهُ الصَّلاَةُ “สิ่งสำคัญสุดของกิจการทั้งปวงคืออิสลาม และเสาหลักของอิสลามคือการละหมาด” บันทึกโดยอะหมัดและอัดติรมิซีย์ การละหมาดเป็นรู่ก่นหรือโครงสร้างหลักของศาสนาอิสลาม ท่านอับดุลลอฮ์อิบนุอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า بُنِيَ اْلإِسْلاَمُ عَلَى خَمْسٍ “ศาสนาอิสลามถูกสร้างขึ้นบนหลักพื้นฐาน (รู่ก่น) 5 ประการ” และหนึ่งในห้าประการที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวถึงก็คือ وَإِقَامِ الصَّلاَةِ “การดำรงละหมาด” บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม การละหมาดคือภารกิจแรกที่จะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์ ท่านอา...

การอาบน้ำละหมาด

การอาบน้ำละหมาด คือ ข้อปฏิบัติในการอาบน้ำละหมาดที่เป็นฟัรดูนั้นมีอยู่ 6 ประการคือ ประการที่ 1 เนียต คือต้องนึกในใจเมื่อเราล้างส่วนหนึ่งส่วนใดของหน้า คำอ่านสำหรับผู้ที่จะอาบน้ำละหมาด สุนัตให้อ่านว่า  “ นะวัยตุล วุดูอะ ฟัรด็อนลิ๊ลลาฮิตาอาลา “ ต้องนึกในใจว่า " ข้าพเจ้าอาบน้ำละหมาด วุดุอ์ฟัรดูเพื่ออัลลอฮตะอาลา " ประการที่ 2 ล้างหน้าให้ทั่วเขตของหน้า ตั้งแต่ หน้าผากจดถึงใต้คาง และระหว่างเม็ดหูข้างหนึ่งจดเมื่อหูอีกข้างหนึ่งให้น้ำถูกผิวหน้าจนทั่วตลอดจนโคนเคราที่บางถ้าเคราหนาก็ให้ล้าง เฉพาะภายนอกเท่านั้น ประการที่ 3 ล้างมือทั้งสองข้าง ตลอดจนถึงข้อศอกให้น้ำถูกผิวหนังจนทั่ว ประการที่ 4 เอาน้ำเช็ดที่ผมส่วนหนึ่งส่วนใดในเขตศรีษะ ประการที่ 5 ล้างเท้าทั้งสองข้าง ตลอดจนถึงสองตาตุ่มให้ถูกผิวหนังจนทั่ว ประการที่ 6 ต้องทำให้ได้อันดับเรียงมาตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 5 ถ้าสลับกันหรือละเว้นข้อการอาบน้ำละหมาดนั้นใช้ไม่ได้ สุนัตของการอาบน้ำละหมาดมี 10 ประการ คือทำได้ผลบุญ ถ้าละเว้นไม่เสียหายอะไร คือ 1. เมื่อจะเริ่มล้างฝ่ามือ ให้อ่านอะอูซูบิลลาฮิ มินัสไซตอนิรรอญีม และ บิสสมิลลาฮิรเราะห์มานิรรอฮีม 2. ...